บอสตัน มาราธอน สำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาวิ่ง ต้องรู้จักรายการวิ่งนี้แน่ ๆ เพราะโหดมาก ๆ แต่ก็สนุกสุด ๆ ไปเลย
บอสตัน มาราธอน งานวิ่งที่หลายคน ลือกันว่าทรหดที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นก่อนและหลังสมัคร โดยมีการจัดเมื่อวัน Patriots’ Day เป็นการนึกถึงวันครบรอบ ที่มีการสู้รบในสมรภูมิเล็กซิงตัน, คอนคอร์ด และเมโนโตมี่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ ของ สงครามที่ได้ประกาศอิสรภาพ ของประเทศสหรัฐอเมริกาของทุกปี
รายการมาราธอนนี้ เรียกได้ว่าเป็นกระแส มากที่สุดระดับอีกรายการหนึ่ง เพราะว่าเป็น การแข่งขันมาราธอน ประจำปี ที่มีมานานมาก ซึ่งการแข่งขันครั้งแรกในปี 1887 หรือ 135 ปีก่อน ซึ่งจุดเริ่มต้นของ การจัดการแข่งขัน มาจากกระแสตอบรับที่ดี ในการวิ่งมาราธอนเมื่อการ แข่งขันกีฬาโอลิมปิก 1990 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ
อีกทั้งยังยึดกฎเกณฑ์ ที่อ้างอิงการแข่งขัน โอลิมปิก เกมส์ จึงทำให้มาราธอนรายการนี้ เป็นการแข่งขัน ที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์สูง มาตั้งแต่ต้น ในช่วงแรกมาราธอนดังกล่าว
กำหนดระยะทาง 25.8 ไมล์ หรือเกือบ 50 กิโลเมตร โดยในเวลาต่อมา มีการเปลี่ยนระยะทางเป็น 26.473 ไมล์ หรือ 41.224 กิโลเมตร เมื่อปี 1938 ซึ่งปรับตามกฎของโอลิมปิก ที่เปลี่ยนแปลงในปีเดียวกัน
การแข่งขันระยะทาง 41.224 กิโลเมตร เป็นการวิ่งภายใน เมืองบอสตัน จึงไม่เป็นเพียง การวิ่งมาราธอนประจำปี ที่มีมาอย่างยาวนาน แต่คือการแข่งขัน วิ่งมาราธอนที่ทรหด ที่สุดในโลกอีกด้วย
บอสตัน มาราธอน เนื่องจากระยะทางที่ตั้งขึ้นมา สำหรับนักกีฬาโอลิมปิกโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้เองเป็นการสื่อว่า รายการมาราธอนนี้ เป็นการแข่งขันที่จัดขึ้น สำหรับนักวิ่งมืออาชีพเท่านั้น
แม้ว่าในปัจจุบัน นักวิ่งสมัครเล่นทั้งหลาย ต้องการจะไปให้ถึงเส้นชัยให้ได้ ความยากของ รายการมาราธอนนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องของ ระยะทางมาตรฐานโอลิมปิก แต่ยังเป็นเรื่องของเส้นทาง ซึ่งไม่เหมือนกับเส้นทาง ในการแข่งขันรายการอื่น ๆ
จึงทำให้รายการมาราธอนนี้ ได้อยู่ในเกณฑ์ ที่จะทำเวลาสถิติโลก เนื่องจากนักวิ่งในรายการมาราธอนนี้ จะสามารถทำเวลาที่ได้น้อยกว่า สถิติที่เคยมีมาซึ่งการแข่งขัน ระยะทาง 41.224 กิโลเมตร
สถิติของนักวิ่งจะ ไม่มีการบันทึกอยู่ในกินเนสส์ บุ๊ก สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากรายการมาราธอนนี้ ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎสองข้อ ที่มีการกำหนดไว้จาก องค์กรกรีฑาโลก หรือ World Athletics
ข้อแรกเป็นเรื่อง การกำหนดความสูง จากระดับทะเลในการวิ่ง (Decrease elevation) ที่สูงกว่า หนึ่งเมตรต่อระยะทาง หนึ่งกิโลเมตร ซึ่งรายการมาราธอนนี้ มีการเปลี่ยนความสูงลดลง
จากจุดเริ่มต้นกว่า 130 เมตร แต่เส้นทางมีระยะเพียง 41.224 กิโลเมตร ข้อสองเป็นเรื่อง ระยะทาง 41.224 กิโลเมตร ดังกล่าวที่มีลักษณะ ที่เป็นทางตรงดิ่ง จึงทำให้จุดเริ่มต้น และจุดเส้นชัยอยู่ไกลกันมาก เป็นเหตุให้มีลมส่งท้าย ที่ส่งเสริมในการวิ่ง จึงทำให้ไม่อาจวัด เวลาสถิติโลกตามมาตรฐาน ที่เคยกำหนดไว้ได้
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ รายการมาราธอนนี้ อาจถูกนิยามได้ว่า คือการแข่งขันวิ่งมาราธอน ที่ไม่มีรายการใดเหมือน ซึ่งความต่างนี้เอง จึงทำให้นักวิ่ง หลายประเทศในโลก อยากจะมาลงแข่งขัน ที่รายการนี้ให้ได้สักครั้ง ซึ่งไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องระยะทาง ที่แสนยาวไกล อีกทั้งลักษณะของเส้นทาง ที่แตกต่างจากรายการ อื่น ๆ ในระดับโลก
รายการมาราธอนนี้ ถือว่าเป็นการแข่งขัน มาราธอนที่ไม่เหมือนกับ 6 รายการที่อยู่ในระดับเดียวกัน เนื่องจากมีการคัดเลือก นักวิ่งเพื่อเข้าร่วมรายการ ไม่อย่างงั้น อาจจะต้องมีเหตุการณ์ ผู้เข้าร่วมช็อกหมดสติ ระหว่างการแข่งขันอย่างแน่นอน
แท้จริงแล้ว รายการมาราธอนนี้ เป็นการแข่งขันมาราธอน ที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด ไม่เพียงแค่ระยะทาง ค่อนข้างไกล อีกทั้งทรหดมากเกินกว่าสภาพร่างกาย ของผู้คนทั่วไป จะรับได้ไหว
การแข่งขันรายการนี้ ไม่ได้ถูกจัดให้ ได้รับการบันทึก เวลาสถิติโลก ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเกณฑ์การรับเข้า ที่ค่อนข้างยาก อีกทั้งยังจำกัดจำนวน นักวิ่งที่เข้าร่วมในทุก ๆ ปีเพียง 28,000 คนเท่านั้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ กลับเป็นสิ่งที่ดึงดูด ให้รายการมาราธอนนี้ เป็นรายการที่ได้รับ ความสนใจมากขึ้นทุกวัน เกิดจากคำบอกเล่า ถึงความทรหด ในการแข่งขัน รวมถึงเข้าร่วม ในการลงแข่งของ รายการที่ยากสุด ๆ
กลายเป็นว่า บทความกีฬาทุกประเภท สิ่งเหล่านี้ทำให้ นักวิ่งส่วนใหญ่ กำหนดให้ รายการวิ่งมาราธอน นี้ คือภารกิจสูงสุดของชีวิต ซึ่งหลายคนมองว่าที่นี่ คือรายการสุดท้าย ที่ต้องผ่านให้ได้ เพื่อบรรลุทั้ง 6 รายการในระดับเมเจอร์ ให้ได้ทั้งหมด
นำไปสู่การได้ เหรียญ Six Star Finisher หรือที่บรรดานัก พากันเรียกว่า เหรียญพอนเดอริง จึงมีความคิดว่า ขอเพียงได้ร่วมเข้าแข่งขัน แม้ว่าจะเข้าเป็นอันดับสุดท้าย ของรายการนี้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
การที่จะได้เข้าร่วม ในรายการมาราธอนนี้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ยากแล้ว แต่หากพูดถึงเรื่องของ เส้นทางตลอด 41.224 กิโลเมตรระหว่างการแข่งขัน ถือว่าเส้นทางเต็มไปด้วย อุปสรรคที่ส่งผลให้ นักวิ่งส่วนใหญ่ ไม่สามารถไปสู่เส้นชัย ได้ตามที่ต้องการ
อุปสรรคที่หนึ่ง พบเจอตั้งแต่ยังไม่ได้ออกตัว เพราะว่ารายการมาราธอนนี้ จัดขึ้นในวัน Patriots’ Day ก็คือวันอังคารที่ 3 ในเดือนพฤษภาคม และจะปล่อยตัวในเวลา 11 โมง ถึง 12 โมง 15 นาที โดยเรื่องเวลานี้ มีผลให้นักวิ่งส่วนมาก ที่คุ้นเคยกับการออกวิ่งในช่วงเช้า เกิดความเหนื่อยล้าได้
อีกทั้งยังมีเรื่องของ สภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวน เนื่องจากบางปีนักวิ่งต้องเจอ กับสภาพอากาศ ที่อุณหภูมิสูงถึง 35 องศาเซลเซียส ส่งผลให้มีนักวิ่งจำนวนมาก ถูกรับการปฐมพยาบาลเพราะว่ามีอุณหภูมิ ในร่างกายที่สูงเกินไป และอีกทั้งในบางปีนักวิ่ง รายการมาราธอนนี้ ต้องพบกับลมแรง ที่ปะทะเข้าตัว
เนื่องจากเมืองบอสตัน เรียกได้ว่าคือเมืองใหญ่ ที่ลมแรงมากที่สุด ของประเทศสหรัฐอเมริกา บางช่วงกระแสลม คือสาเหตุของอุณหภูมิที่หนาวจัด ไม่เพียงเท่านี้ แรงลมที่พัดเข้ามาปะทะ โดยตรงของนักวิ่ง ตลอดระยะทาง
ทำให้บรรดานักวิ่ง ต้องออกแรงต้านยิ่งขึ้น จึงเป็นเหตุให้ร่างกายของนักวิ่ง เหนื่อยมากยิ่งขึ้น แม้ว่าในบางทีลม เป็นเหมือนตัวช่วย ที่คอยส่งเสริมให้บรรดาผู้เข้าร่วม วิ่งได้ไวขึ้นก็ตาม
แต่ปัญหาเรื่องลม และสภาพอากาศ อุปกรณ์กีฬา ก็ยังไม่สู้เรื่องของเส้นทาง ที่นักวิ่งรายการมาราธอนนี้ จะต้องได้พบเจอ เพราะแค่เพียงระยะทาง ช่วงที่ปล่อยตัว ผู้เข้าร่วมจะต้องวิ่ง ลงจากเนินที่ต่ำกว่า 50 เมตร
โดยส่วนมาก จะเอาเส้นทางนี้ เพิ่มความเร็วในการ จะวิ่งแซงคนอื่นไปไกล ซึ่งแท้จริงแล้ว เส้นทางที่มีลักษณะแบบนี้ กลับทำให้บรรดานักวิ่ง หมดแรงได้ในช่วงท้าย ๆ ของเส้นทาง
ที่สุดแล้วแต่ละคน ที่ได้มาเข้าร่วม รายการมาราธอนนี้ ไม่ได้อาศัยเรื่องของโชคช่วย แต่ต้องอาศัย ความพร้อมทั้งร่างกาย และสภาพจิตใจ อีกทั้งยังต้องศึกษา ลักษณะของเส้นทางอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง บอสตัน มาราธอน จึงได้รับการขนานนามว่า คือรายการมาราธอน ที่โหดที่สุดในโลก
เรียบเรียงโดย อลิส